วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย

การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
                การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยนั้น มีจุดมุ่งหมายสูงสุด คือ ต้องการเห็นเด็กเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีอนาคตรุ่งเรือง มีความสุขและความสำเร็จในชีวิต ปัจจัยที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดผลดังกล่าวนั้นมีมากมายหลายประการด้วยกัน หากแต่องค์ประกอบที่สำคัญยิ่ง คือ ครอบครัว เพราะไม่ว่าจะเชื้อชาติใด วัฒนธรรมหรือศาสนาใด การเจริญเติบโตของเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต่างก็มีรากฐานมาจากประสบการณ์ภายในครอบครัวของตนเองทั้งสิ้น

ความสำคัญในวัยเด็ก       
                วัยแรก ๆ ของชีวิต เป็นวัยที่เด็กมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งทางร่างกายจิตใจและอุปนิสัย ถ้าพ่อแม่ต้องการให้เด็กเป็นเด็กดี ก็ต้องปลูกฝังอุปนิสัยหรือสอนกันตั้งแต่ตอนอายุ 6 – 7 ปี  พ่อแม่จึงเป็นบุคคลสำคัญยิ่งในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของเด็กนอกจากการสอนหรืออบรมสิ่งที่ดีและการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กแล้ว สิ่งที่พ่อแม่มักมองข้ามคือ ท่าทีของพ่อแม่ที่แสดงต่อเด็ก ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงที่เด็ก ๆ ได้รับไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ทางบวกหรือลบ วัยแรก ๆ ของชีวิตเป็นวัยที่ละเอียดอ่อน จำเป็นที่แม่ต้องเรียนู้ และให้ความสนใจเด็กมากเป็นพิเศษ

สาเหตุที่เด็กมีความสำคัญ

                1.  เพราะเขาจะเป็นผู้สืบทอดความดีงามต่าง ๆ จากผู้ใหญ่
                2.  เพราะเขาเป็นมนุษย์ที่มีสิทธิที่จะได้รับการตอบสนองความต้องการต่าง ๆ จากผู้ใหญ่ในสังคมที่เด็กเป็นสมาชิกอยู่ด้วย
                3.  เพราะเขาเป็นมนุษย์ที่ไม่ใช่มีแต่สิทธิ แต่ต้องมีความรับผิดชอบ ที่จะปฏิบัติตนให้สมกับสิทธิที่เขาจะได้รับ
                4.  เพราะเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มเยาวชน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญยิ่งส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์
                5.  เพราะความดีเลวของเด็กในวัยนี้สะท้อนให้เห็นคุณภาพของประชากรในอนาคตของสังคมโลก
                6.  เพราะเขามีพื้นเดิมของจิตใจบริสุทธิ์สะอาด ให้ตระหนักในความสำคัญในกระบวนการซึมซาบที่จะช่วยให้เด็กนั้นเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและคุณธรรม

ความสำคัญของเด็กกับการพัฒนาประเทศ
                ประเทศไทยอยู่ในระยะกำลังพัฒนา จำเป็นต้องอาศัยมนุษย์หรือบุคคลที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูง เพื่อพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ของชาติให้เจริญก้าวหน้าต่อไป เด็กจะเป็นผู้สืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ใหญ่ เด็กจึงเป็นบุคคลที่ควรให้ความสนใจและเอาใจใส่ ดังคำกล่าว “เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า” อนาคตของชาติขึ้นอยู่กับคุณภาพของเด็กไทย
                ดังนั้น เด็กเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สูงของประเทศ เด็กเป็นสุดที่รักและเป็นความหวังสูงสุดของพ่แม่ เป็นอนาคตของครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ
                สิ่งสำคัญพื้นฐานในการเสริมสร้างให้เด็กมีคุณภาพดี คือการให้ความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น ดังนั้น พ่อแม่จึงควรตระหนักถึงความสำคัญ พร้อมทั้งตอบสนองต่อความต้องการทั้งทางกายและทางใจ

สัมพันธภาพภายในครอบครัว
                สัมพันธภาพ หมายถึง ความผูกพันหรือความเกี่ยวพัน ที่จะทำให้บุคคลผู้ใกล้ชิด มีความรู้สึกปลอดภัย และมั่นคง สัมพันธภาพภายในครอบครัว ก็คือความผูกพันของสมาชิกภายในครอบครัว

ความสำคัญของสัมพันธภาพระหว่างพ่อ – แม่
                บ้านที่มั่นคงอบอุ่น พ่อแม่รักใคร่ปองดองกันดี สมาชิกทุกคนในครอบครัวก็จะมีสุขภาพจิตดี ทำให้เด็กมีพัฒนาการดี เติบโตเป็นคนดี มองโลกในแง่ดี ในทางตรงข้ามถ้าสัมพันธภาพของพ่อแม่ไม่ดี ทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน ทำให้เด็กมีความวิตกกังวลสูงมาก กลัวพ่อจะตีและกลัวแม่จะหนีไปที่อื่น กลัวต้องอยู่คนเดียวทำให้เด็กขาดความเชื่อมั่น สัมพันธภาพพ่อแม่มีความสำคัญมาก ต่อการเสริมสร้างอุปนิสัยของเด็กในอนาคต

การสร้างสัมพันธภาพระหว่างพ่อ-แม่
                สิ่งสำคัญที่ทำให้สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่มั่นคง ก็คือความรัก วิธีการถนอมความรักให้ยั้งยืนอยู่ได้นั้น พ่อแม่ต้องพยายามเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย รู้จักการให้อภัย ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

การสร้างความสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่-ลูก
                การที่จะสอนเด็กให้ได้ดีนั้น พ่อแม่จำเป็นต้องสร้างสัมพันธภาพกับลูกก่อน ถ้าพ่อแม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อลูก เด็กจะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อพ่อแม่ เชื่อฟังพ่อแม่

หน้าที่ของพ่อแม่ (ผู้ปกครอง)
                1.  เลี้ยงดูลูกให้เจริญเติบโตในสังคม
-  การตอบสนองทางร่างกาย คือการให้อาหารตามหลักโภชนาการ การนอนหลับพักผ่อน การจัดหาเสื้อหา เครื่องนุ่งห่ม การออกกำลังกาย การฝึกหัด การขับถ่าย และการป้องกันโรคและอุบัติเหตุ
-  การตอบสนองความต้องการทางจิตวิทยา คือ ความรัก ความอบอุ่น การยอมรับว่าเด็กคือส่วนสำคัญของครอบครัว การเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
                2.  การอบรมและการให้การศึกษาเบื้องตัน
                การอบรมให้เด็กรู้จักระเบียบสังคม ประเพณีและวัฒนธรรม เพื่อเด็กสามารถปรับตัวในสังคมได้ดี
                การอบรมมารยาทของสังคม คือ การฝึกมารยาทในการปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับเวลาสถานที่ และมารยาทในการรับประทานอาหาร
                3.  การส่งเสริมความสนใจของลูก
                จัดหาสื่อ วัสดุอุปกรณ์ที่ลูกมีความสนใจ เช่น อุปกรณ์ระบายสี วาดรูป หนังสือนิทาน
                4.  ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา
                -  ส่งเสริมการคิดและแก้ปัญหาต่าง ๆ
                -  ส่งเสริมให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง
                -  ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
                -  ส่งเสริมให้ลูกมีโอกาสทำในสิ่งที่สนใจ
                -  ส่งเสริมความรับผิดชอบในการทำงานต่าง ๆ
                -  ส่งเสริมให้ลูกรู้จักสังเกต และความสนใจสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว
                -  ส่งเสริมทักษะทางด้านภาษาเพื่อให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ทางภาษาต่อไป
                5.  การถ่ายทอดวัฒนธรรมทางสังคม
                                ส่งเสริมอบรมให้ลูกเข้าใจในด้านวัฒนธรรมของชาติ และประเพณีต่าง ๆ

ความสำคัญของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดู
                การอบรมเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้อย่างไม่มีปัญหา พ่อแม่ต้องเข้าใจลูกและแบ่งเวลาให้ลูกอย่างเหมาะสม โดยวิธีการดังนี้
                ก.  ตั้งเป้าในการอบรมเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่
                                พ่อแม่ต้องคิดว่าต้องการให้ลูกของตนเป็นคนอย่างไร พ่อแม่ก็ต้องปฏิบัติตนต่อหน้าลูกให้เป็นคนอย่างนั้น
                ข.  รู้จิตวิทยาการอบรมเลี้ยงดูลูก
                                การอบรมเลี้ยงดูลูกพ่อแม่ต้องรู้ถึงพัฒนาการขั้นต่าง ๆ ของเด็กแต่ละวัย โดยยึดถือพัฒนาการของเด็ก การมีจิตวิทยาที่ดีในการเลี้ยงดูเด็ก ทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สุขภาพดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ



รูปแบบการอบรมเลี้ยงดู
                ความแตกต่างของเด็กขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูที่ต่างกัน ซึ่งส่งผลถึงนิสัยที่จะติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
การอบรมเลี้ยงดูลูกมีวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
                1.  การอบรมเลี้ยงดูแบบให้ความรักความอบอุ่นแบบประชาธิปไตย
                                เป็นการอบรมเลี้ยงดูลูก ซึ่งได้แก่ ความรัก ความเอาใจใส่ ความเข้าใจ ต้องใช้เหตุผลกับลูกให้ลูกรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติด้านความยุติธรรม และไม่ใช้เพียงแต่ให้ความรักอย่างเดียว ต้องให้ความสำคัญแก่ลูก โดยถือว่าลูกคือส่วนสำคัญต่อครอบครัว พ่อแต้องให้ในสิ่งที่ลูกต้องการจริง ๆ
หลักการอบรมเลี้ยงดูแบบนี้พ่อแม่จะทำได้คือ
1.  พ่อแม่ให้สิทธิแก่ลูกในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวให้เขาเป็นตัวเองให้มากที่สุด จะต้องไม่คิดแทนลูก ฝึกให้เขาทำได้คิดตัวเอง
2.  พ่อแม่มีหน้าที่ให้สิ่งต่าง ๆ ตรงกับพัฒนการตามความต้องการเหมาะสม และความสามารถทางร่างกาย
3.  พ่อแม่ควรต้องเอาใจใส่ ต่อควาทคิดเห็นของลูก สนใจกิจกรรมต่าง ๆ ของลูก ให้คำแนะนำ สิ่งเสริมและเฝ้าดูผลสำเร็จในงานของลูกด้วยความตั้งใจและอดทน
4.  พ่อแม่ควรมีเวลาใกล้ชิดลูก และทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีของลูก ให้คำแนะนำมากกว่าการออกคำสั่งให้ทำ ควรเลี้ยงลูกแบบประชาธิปไตยไม่ใช่เผด็จการ เพราะจะช่วยให้เด็กได้เติบโตอย่างมีอิสระตามพัฒนาการขั้นต่างๆ
5.  พ่อแม่ควรใช้แรงเสริมเป็นตัวสร้างบุคลิกภาพของเด็กตามที่ต้องการจะให้เด็กเป็น พ่อแม่จะต้องเป็นแบบอย่างโดยแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมให้ลูกเห็นอย่างเด่นชัด
6.  พ่อแม่ควรส่งเสริมความเป็นคนมีสุขภาพจิตที่ดีให้แก่ลูก โดยให้อิสระแก่ลูกควบคู่ไปกับการมีหน้าที่และความรับผิดชอบ ทำให้ทั้งสองสิ่งมีความสมดุลกันขึ้นในตัวของลูก
7.  พ่อแม่ควรจะใช้วิธีการลงโทษให้เหมาะสม ทฤษฏีของโคเบอร์ก กล่าวว่า เด็กอายุ 1-7 ปี การทำโทษทางกายยังใช้ได้ดี เพราะทำให้เกิดการเรียนรู้ การตีเด็ก ควรตีเพราะสั่งสอนมิใช่เพราะโกรธ
8.  การฝึกวินัยให้ลูกเป็นสิ่งจำเป็น ควรเริ่มทำในเมื่อลูกโตพอที่จะเข้าใจเหตุผล การยัดเยียดให้เด็กมีระเบียบวินัยมากเกินไปในขณะที่เด็กยังไม่พร้อม จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะจะทำให้เด็กต่อต้าน เอาแต่ใจ
9.  พ่อแม่ควรสร้างสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ลูกเกิดความอยากรู้อยากเห็นและเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
10. พ่อแม่ควรช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ทีจะอยู่กับผู้อื่นอย่างมีความสุข โดยเฉพาะในเด็กวัยเดียวกัน เพื่อให้เด็กได้ปรับตัวเข้ากับสังคม และอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
                ผลของการเลี้ยงลกแบบประชาธิปไตย เด็กจะมีลักษณะ ดังนี้
                -  จะเป็นคนเปิดเผย เป็นตัวของตัวเอง มีเหตุผล
                -  มีความรับผิดชอบ
                -  มีอารมณ์ขัน ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดี
                -  เรียนรู้อะไร ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
                -  สามารถปรับตัวได้ดี และกล้าแสดงออกอย่างมั่นใจ
                -  สามารถช่วยเหลือตนเองและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
                -  มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง
                -  มีลักษณะของการเป็นผู้นำที่ดี
                -  ให้ความร่วมมือกับผู้อื่นได้ดี มีความมั่นคงทางอารมณ์
                -  มีความเข้าใจตนเองสูง และรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
                -  รู้จักใช้เหตุผล เคารพสิทธิของตนเองและผู้อื่น
                วิธีที่ 2 การอบรมเลี้ยงดูลูกแบบคาดหวังเอากับเด็ก  วิธีการอบรมเลี้ยงดูแบบนี้ พ่อแม่มักทำดังนี้
                1.  เคี่ยวเข็ญให้ลูกทำตามสิ่งที่พ่อแม่เห็นว่าดีเท่านั้น
                2.  มักจะดุด่าว่ากล่าวเมื่อเวลาที่ลูกอธิบายหรือแสดงเหตุผลคัดค้าน
                3.  กำหนดรายการอาหารทุกมื้อแก่ลูก และลูกต้องกินหมดทุกครั้ง
                4.  กำหนดวิธีการดำรงชีวิตตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นการกิน การเล่น การเที่ยว ขึ้นอยู่กับพ่อแม่
                ผลของการเลี้ยงลูกแบบคาดหวังเอากับเด็ก  เด็กจะมีลักษณะดังนี้
                - ลูกจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ ปรับตัวกับสังคมภายนอกได้ยาก
                -  ไม่มีความมั่นใจในตนเอง
                -  ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง
                -  ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
                -  ชอบพึ่งพาผู้ใหญ่
                วิธีที่ 3  การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย   วิธีการอบรมเลี้ยงดูแบบนี้พ่อแม่มักจะทำ
                1.  ไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของลูก ลูกจะเลนอะไร อย่างไร พ่อแม่ไม่เคยเอาใจใส่
                2.  เวลาพ่อแม่อารมณ์ไม่ดี มักจะระบายออกด้วยการทำโทษเด็กเสมอ
                3.  เวลาลูกถามมักพูดว่า “อย่ามากวนใจ ไปให้พ้น” 
                4.  ชอบพูดขู่ลูกเสมอเวลาลูกเล่นซน ถ้าเด็กไม่กลัวก็จะตีลูกอย่างรุนแรง
                5.  ปล่อยให้ลูกทำอะไรต่าง ๆ ตามใจชอบ ไม่ค่อยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสมให้
                6.  มักรักลูกไม่เท่ากัน โดยปฏิบัติตนกับลูกอย่างลำเอียง
                ผลของการอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย  เด็กจะมีลักษณะดังนี้
                -  ลูกจะมีลักษณะก้าวร้าว ชอบทะเลาะเบาะแว้วกับผู้อื่นบ่อย ๆ
                -  มีทัศนคติไม่ดีต่อพ่อแม่ บางครั้งถึงกับเกลียดชังพ่อแม่ตัวเอง ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่
                -  ลูกมีอาการเซื่องซึม ไม่สามารถปรับตัวได้ง่าย มีความตึงเครียดทางอารมณ์
                วิธีที่ 4  การอบรมเลี้ยงดูแบบรักถนอมเกินไป  การเลี้ยงดูแบบนี้ พ่อแม่มักจะทำดังนี้
                1.  คอยชี้แนะช่วยเหลือเพื่อนตลอดเวลา
                2.  ไม่ยอมให้ลูกเล่นกับเพื่อน ๆ เพราะกลัวลูกจะถูกรังแก
                3.  ไม่ยอมให้เด็กกินอาหารเอง เพราะกลัวจะทำเลอะเทอะ
                4.  มักช่วยลูกทำการบ้านเสมอ
                5.  ไม่ยอมให้ลูกกินอาหารหรือขนม จนกว่าพ่อแม่จะได้ชิมเสียก่อน
                6.  เมื่อลูกเจ็บป่วยเล็กน้อย พ่อแม่จะวิตกกังวลมาก
                7.  ไม่ยอมให้ลูกได้ช่วยตนเองเวลาทำงานต่าง ๆ
                ผลของการเลี้ยงดูแบบรักถนอมมากเกินไป  เด็กมีลักษณะดังนี้
-                   เป็นเด็กที่เอาแต่ใจตนเอง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความเชื่อมั่นในตนเอง
-                   คอยพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ พึ่งตนเองไม่ได้
-                   ไม่สามารถจะแก้ปัญหาด้วยตนเอง ปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้ยาก
-                   มีแนวโน้มสุขภาพจิตเสีย และมีอาการทางประสาท

การอบรมเลี้ยงดูลูกในวัยเด็กเล็กในสังคมปัจจุบันพ่อแม่
             โดยทั่วไปพ่อแม่มุ่งที่จะฝึกฝนอบรมลูก ดังนี้
             -  เป็นคนที่มีความเป็นระเบียบและความรับผิดชอบ
             -  เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร
             -  เป็นคนที่รู้จักประหยัด
             -  เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์
             -  เป็นคนที่มีเหตุผล
             -  เป็นคนที่มีความประพฤติดีมีจริยธรรม และรู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี
การฝึกให้ลูกเป็นคนที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
             -   ฝึกให้แต่งกายเรียบร้อย ถูกกาลเทศะ
             -  กำหนดเวลากิจกรรมและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆตามเวลาที่เหมาะสม
             -  รู้จักการทำงานอย่างมีขั้นตอน รับผิดชอบต่องาน
             -  ฝึกให้เก็บของที่ตกหล่นทุกครั้ง
             -  ฝึกเก็บของให้ถูกต้องและเข้าที่
             -  ฝึกให้ดูแลสิ่งของต่าง
การฝึกให้ลูกเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร
             -  ฝึกให้ลูกทำงานโดยกำหนดงานให้ทำ และทำงานให้เป็นเวลา
             -  ฝึกให้ทำงานอดิเรกอื่น ๆ ตามความสนใจ
             -  ฝึกให้รู้จักจุดมุ่งหมายในการทำงาน และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
การฝึกให้ลูกเป็นคนประหยัด
             -  ฝึกให้ลูกรู้จักเก็บออมเงิน และให้เงินอย่างเหมาะสม
             -  ฝึกให้รู้จักถนอมของใช้ของเล่นและซ่อมรักษาของให้ใช้ได้เสมอ
             -  ฝึกให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
การฝึกให้ลูกเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์
             -  ชี้แจงให้ลูกทราบถึงความไม่ซื่อสัตย์
             -  เมื่อลูกพูดความจริง แม้เป็นเรื่องเสียหายก็ไม่ควรดุหรือลงโทษ
             -  ชมเชยเมื่อลูกทำความดี โดยเฉพาะความซื่อสัตย์
การฝึกให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล
             -  ให้ลูกแสดงเหตุผลต่อพ่อแม่ ในการที่จะทำหรือไม่ทำสิ่งใด
             -  ชี้แจงและบอกเหตุผลในกรณีที่ส่งเสริมให้กระทำหรือห้ามกระทำสิ่งใด
การฝึกให้ลูกเป็นคนที่มีความประพฤติดี มีกริยามารยาทและรู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม
             -  ฝึกให้ลูกแสดงความเคารพบิดามารดาและผู้ใหญ่
             -  พ่อแม่ควรทำแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก
             -  ฝึกให้ลูกปฏิบัติตนให้เหมาะสมตามประเพณีไทย
หลักในการอบรมเลี้ยงดูเด็กให้เจริญทุกด้าน ดังนี้
1.  ด้านร่างกาย  ส่งเสริมความเจริญเติบโตของร่างกาย ปลูกฝังสุขภาพอนามัย และสุขนิสัยที่ดี
2.  ด้านอารมณ์จิตใจ  ปลูกฝังให้รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง มีสัมมาคารวะ เคารพและเชื่อฟังผู้ใหญ่
3.  ด้านสังคม  ปลูกฝังให้เด็กรู้จักปฏิบัติตนต่อหมู่คณะ แสดงออกในทางที่ถูกที่ควร
4.  ด้านสติปัญญา  ส่งเสริมปฏิภาณไหวพริบ รู้จักหาเหตุผล ให้เกิดความเข้าใจด้วยตนเอง

การอบรมเลี้ยงดูเด็ก กับการส่งเสริมพัฒนาด้านร่างกาย
             หลักในการปฏิบัติของพ่อแม่และผู้ปกครอง เพื่อปลูกฝังนิสัยการบริโภคที่ดีให้แก่เด็ก ควรปฏิบัติดังนี้
             1.  หัดให้เด็กกินอาหารที่มีประโยชน์ทุกชนิด
             2.  หัดให้เด็กกินอาหารแปลก ๆ และคุ้นเคยกับอาหารชนิดใหม่ ๆ
             3.  หัดให้เด็กรับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ และจัดอาหารให้น่ากิน เพื่อกระตุ้นการอยากอาหาร
             4.  ลักษณะและรสชาติของอาหาร ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย และรสอ่อน
             5.   จัดอาหารว่างให้เด็กในตอนเช้าหรือบ่าย และจัดบรรยากาศในการกินที่ดี
             6.  ผู้ใหญ่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีในการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและมารยาทในการรับประทานอาหาร
             7.  สร้างสุขนิสัยที่ดีในการกินอาหาร
             8.  หัดให้เด็กดื่มนมหรือน้ำผลไม้
             9.  งดอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
สุขภาพและอนามัย
             1.  ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงของเด็ก และเปรียบเทียบเกณฑ์มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ
             2.  ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของเด็กอย่างสม่ำเสมอ
             3.  ป้องกันเด็กจากโรคภัยไข้เจ็บและอุบัติเหตุต่าง ๆ
             4.  รักษาพยาบาลเมื่อเด็กเจ็บป่วย หรือจากอุบัติเหตุอย่างถูกวิธี
             5.  ให้เด็กได้เล่นและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการ
             6.  จัดหาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ให้เด็กอย่างเพียงพอและเหมาะสม
การเลี้ยงดูที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์
             การเลี้ยงดูที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านอารมณ์ของเด็กปฐมวัย พ่อแม่ผู้เลี้ยงดู ตลอดจนครูผู้ดูแลเด็กควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
                1.  ให้ความรักและความอบอุ่น ความเอาใจใส่และความเข้าใจเด็ก
                2.  ให้เด็กได้เล่นตามความต้องการของตนเอง
                3.  เล่านิทานเพื่อความเพลิดเพลินและปูพื้นฐานทางจิตใจแก่เด็ก
การเลี้ยงดูเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสังคม
                การเลี้ยงดูเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสังคมของเด็กปฐมวัย พ่อแม่ควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
                1.  การเล่น ช่วยให้มีโอกาสฝึกการเข้าสังคม เรียนรู้การที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น
                2.  การพาเด็กไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ทำให้เด็กได้รู้จักสังคมนอกบ้าน
                3.  การพาเด็กไปรู้จักกับญาติพี่น้อง ลูก ๆ หลาน ๆ ในวัยเดียวกัน หรือบ้านเพื่อน ๆ
การเลี้ยงดูที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา
                การเลี้ยงดูที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัย พ่อแม่ผู้เลี้ยงดู ตลอดจนถึงครู ควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
                1.  อาหาร  นอกจากจะมีความสำคัญทางด้านร่างกายแล้ว ยังมีความสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการทางด้านสติปัญญา  ถ้าเด็กขาดสารอาหารสมองจะไม่พัฒนา
                2.  การเล่น  ช่วยให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา
                3.  การฟังและการพูด  เป็นกุญแจสำคัญของการเรียนรู้ในช่วง 1-3 ขวบ
                4.  ทักษะต่าง ๆ ทางด้านความคิด พ่อแม่ควรคิดถึงทักษะต่าง ๆ ที่เด็กจะได้เรียนรู้โดยผ่านการทดลองและแก้ปัญหา
4.1  การส่งเสริมพัฒนาการและเตรียมความพร้อมทางด้านภาษา
                ภาษามีความสำคัญต่อเด็กมาก เด็กจะต้องสื่อสารกับผู้อื่นได้  การเตรียมความพร้อมทางด้านภาษานั้น พ่อแม่ควรมีความรู้ พ่อแม่ควรมีความรู้เกี่ยวกับลำดับขั้นตอนในการพัฒนาทางด้านภาษา เพื่อหาวิธีส่งเสริมได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
กิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะทางด้านภาษามีดังนี้
                - การเล่านิทาน
                -  การเล่นบทบาทสมมุติ
                -  การสนทนาและพูดคุยกับเด็ก
4.2  การส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และพัฒนาทักษะทางด้านคณิตศาสตร์
                เป็นกิจกรรมที่มีกฏเกณฑ์และกติกาที่แนะนอน เด็กจะได้รับความสนุกสนานและได้รับความรู้ไปด้วย เป็นการฝึกการใช้เหตุผล พัฒนาด้านสติปัญญา
4.3  การส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และพัฒนาทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์
                กิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์             
4.3.1  การตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์ เป็นการฝึกให้เด็กได้เรียนรู้ เข้าใจถึงเหตุและผล ทำให้เด็กได้เกิดความคิดรวบยอด และหาข้อสรุปจากประสบการณ์ด้วยตนเอง
4.3.2  จัดประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทางวิทยาศาสตร์        ควรจัดและเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และสัมผัส อุปกรณ์ต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เด็กสนใจ ตื่นตัวอยากค้นคว้าและทดลอง

                สรุป  
การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็ก พ่อแม่จำเป็นต้องมีหลักการ และความรู้ในการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง มีวิธีการส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่ได้ผล เพื่อให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการที่ดีทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น